เมนู

5. กัตถีสูตร


ว่าด้วยภิกษุละธรรม 10 ประการจักถึงความเจริญงอกงามในธรรมวินัย


[85] สมัยหนึ่ง ท่านพระมหาจุนทะ อยู่ที่สหชาติวัน ในแคว้น
เจตี ณ ที่นั้นแล ท่านพระมหาจุนทะเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลายผู้มีอายุ ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระมหาจุนทะแล้ว ท่านพระ-
มหาจุนทะได้กล่าวคำนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีปกติกล่าวโอ้อวดในการบรรลุคุณเศษทั้งหลายว่า เราเข้าปฐมฌาน
ก็ได้ ออกก็ได้ เข้าทุติยฌานก็ได้ ออกก็ได้ เข้าตติยฌานก็ได้ ออกก็ได้
เข้าจตุตถฌานก็ได้ ออกก็ได้ เข้าอากาสานัญจายตนฌานก็ได้ ออกก็ได้
เข้าวิญญาณัญจายตนฌานก็ได้ ออกก็ได้ เข้าอากิญจัญญายตนฌานก็ได้
ออกก็ได้ เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌานก็ได้ ออกก็ได้ เข้าสัญญา-
เวทยิตนิโรธก็ได้ ออกก็ได้.
พระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน ฉลาดในสมาบัติ
ฉลาดในจิตของผู้อื่น ฉลาดในการกำหนดรู้จิตของผู้อื่น ย่อมไล่เลียง
สอบถาม ซักถามภิกษุนั้น ภิกษุนั้นอันพระตถาคตหรือสาวกของพระ-
ตถาคตผู้ได้ฌาน... ไล่เลียง สอบถาม ซักถาม ย่อมถึงความเป็นผู้เปล่า
ไม่มีคุณ ไม่เจริญ ถึงความพินาศ ถึงความไม่เจริญและความพินาศ
พระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน ผู้ฉลาดในสมาบัติ ผู้ฉลาด
ในจิตของผู้อื่น ผู้ฉลาดในการกำหนดรู้จิตของผู้อื่น กำหนดใจ
ด้วยใจแล้ว กระทำไว้ในใจซึ่งภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า เพราะเหตุอะไรหนอ
ท่านผู้นี้จึงเป็นผู้มีปกติกล่าวโอ้อวดในการบรรลุคุณวิเศษทั้งหลายว่า เรา
เข้าปฐมฌานก็ได้ ออกก็ได้ ฯลฯ เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธก็ได้ ออกก็ได้

พระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน... กำหนดใจด้วยใจอย่างนี้
แล้ว ย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้กระทำศีลให้ขาด กระทำ
ศีลให้ทะลุ กระทำศีลให้ต่าง กระทำศีลให้พร้อม ไม่กระทำความเพียร
ติดต่อ ไม่ประพฤตติดต่อในศีลทั้งหลาย ท่านผู้นี้เป็นผู้ทุศีลตลอดกาลนาน
ก็ความเป็นผู้ทุศีลนี้แล เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรง
ประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้ไม่มีศรัทธา มีความประพฤติไม่สมควร
ก็ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธานี้แล เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคต
ทรงประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้มีการสดับน้อย มีความประพฤติไม่สมควร
ก็ความเป็นผู้มีการสดับน้อยนี้แล เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระ-
ตถาคตทรงประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้ว่ายาก มีความประพฤติไม่สมควร
ก็ความเป็นผู้ว่ายากนี้แล เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรง
ประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้มีมิตรชั่ว ก็ความเป็นผู้มีมิตรชั่วนี้แล เป็น
ความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้
เกียจคร้าน ก็ความเป็นผู้เกียจคร้านนี้แล เป็นความเสื่อมในธรรมวินัย
ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้มีสติหลงลืม ก็ความเป็นผู้
มีสติหลงลืมนี้แล เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศ
แล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้หลอกลวง ก็ความเป็นผู้หลอกลวงนี้แล เป็นความ
เสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้เลี้ยงยาก
ก็ความเป็นผู้เลี้ยงยากนี้แล เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรง
ประกาศแล้ว ท่านผู้นี้เป็นผู้มีปัญญาทราม ก็ความเป็นผู้มีปัญญาทรามนี้แล
เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เปรียบเสมือนสหายพึงกล่าวกะสหาย

อย่างนี้ว่า ดูก่อนสหาย เมื่อใด กิจที่ควรกระทำด้วยทรัพย์มีอยู่แก่ท่าน
ท่านพึงบอกเราให้ทราบ เราจะให้ทรัพย์แก่ท่าน สหายอีกฝ่ายหนึ่งนั้น
เมื่อมีกิจที่ควรกระทำด้วยทรัพย์บางอย่างเกิดขึ้นแล้ว จึงบอกกับสหาย
อย่างนี้ว่า ดูก่อนสหาย เราต้องการทรัพย์ ขอท่านจงให้ทรัพย์แก่เรา
สหายนั้นก็ตอบอย่างนี้ว่า ดูก่อนสหาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงขุดลงไปในที่นี้
สหายอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เมื่อขุดลงไปในที่นั้น ไม่พึงพบทรัพย์ จึงกล่าว
อย่างนี้ว่า ดูก่อนสหายท่านได้พูดพล่อย ๆ กะเรา ได้กล่าวคำเท็จกะเราว่า
ท่านจงขุดลงไปในที่นี้ สหายนั้นจึงพูดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสหาย เราหาได้
พูดพล่อย ๆ ไม่ หาได้กล่าวคำเท็จไม่ ท่านจงขุดลงไปในที่นี้เถิด สหาย
อีกฝ่ายหนึ่งนั้น เมื่อขุดลงไปแม้ในที่นั้นก็ยังไม่พบทรัพย์ จึงกล่าวอย่างนี้
ว่า ท่านได้พูดพล่อย ๆ กะเรา ได้กล่าวคำเท็จกะเราว่า จงขุดลงไปในที่นี้
สหายนั้นตอบอย่างนี้ว่า เราหาได้พูดพล่อย ๆ ไม่ หาได้กล่าวคำเท็จไม่
ถ้าเช่นนั้น ท่านจงขุดลงไปในที่นี้ สหายอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เมื่อขุดลงไป
แม้ในที่นั้นก็ไม่พบทรัพย์ จึงพูดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสหาย ท่านพูดพล่อย ๆ
แก่เรา ท่านได้กล่าวคำเท็จกะเราว่า จงขุดลงไปในที่นี้ สหายนั้นก็ตอบ
อย่างนี้ว่า ดูก่อนสหาย เราหาได้พูดพล่อย ๆ ไม่ หาได้กล่าวคำเท็จไม่
แต่ว่าเราถึงความเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่านไป ซึ่งมิใช่กำหนดรู้ด้วยใจ แม้ฉันใด
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนดัน เป็นผู้มีปกติกล่าว
โอ้อวดในคุณวิเศษทั้งหลายว่า เราเข้าปฐมฌานก็ได้ ออกก็ได้... เข้า
สัญญาเวทยิตนิโรธก็ได้ ออกก็ได้ พระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต
ผู้ได้ฌาน ผู้ฉลาดในสมาบัติ ผู้ฉลาดในจิตของผู้อื่น ผู้ฉลาดในการกำหนด
รู้จิตของผู้อื่น ย่อมไล่เลียง สอบถาม ซักถามภิกษุนั้น ภิกษุนั้นอัน

พระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน..ไล่เลียง สอบถาม ซักถาม
อยู่ ย่อมถึงความเป็นผู้เปล่า ไม่มีคุณ ไม่เจริญ พินาศ ความไม่เจริญ
และความพินาศ พระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน ผู้ฉลาด
ในสมาบัติ ผู้ฉลาดในจิตของผู้อื่น ผู้ฉลาดในอันกำหนดรู้จิตของผู้อื่น
กำหนดใจด้วยใจแล้ว กระทำไว้ในใจซึ่งภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า เพราะเหตุ
อะไรหนอ ท่านผู้นี้จึงเป็นผู้มีปกติกล่าวโอ้อวดในการบรรลุคุณวิเศษ
ทั้งหลายว่า เราเข้าปฐมฌานก็ได้ ออกก็ได้ ฯลฯ เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
ก็ได้ ออกก็ได้ พระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน ผู้ฉลาด
ในสมาบัติ ผู้ฉลาดในจิตของผู้อื่น ผู้ฉลาดในการกำหนดรู้จิตของผู้อื่น
กำหนดใจด้วยใจแล้ว ย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้ทำให้ขาด
ทำให้ทะลุ ทำให้ด่าง ทำให้พร้อย ไม่กระทำความเพียรติดต่อ ไม่ประพฤติ
ติดต่อในศีลทั้งหลาย ท่านผู้นี้เป็นผู้ทุศีลตลอดกาลนาน ก็ความเป็นผู้
ทุศีลนี้แล เป็นความเสื่อมในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว... ท่าน
ผู้นี้เป็นผู้มีปัญญาทราม ก็ความเป็นผู้มีปัญญาทรามนี้แล เป็นความเสื่อม
ในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุ
นั้นแล ไม่ละธรรม 10 ประการนี้แล้ว จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์
ในธรรมวินัยนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ภิกษุนั้นแล ละธรรม 10 ประการ
นี้แล้ว จึงจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ อันเป็นฐานะ
ที่จะมีได้.
จบกัตถีสูตรที่ 5

อรรถกถากัตถีสูตรที่ 5


กัตถีสูตรที่ 9

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า กตฺถี โหติ วิกตฺถี แปลว่า เป็นผู้มีปกติพูด มีปกติพูดอวด
ย่อมพูดเปิดเผย. บทว่า น สตตการี แปลว่า ไม่ทำต่อเนื่องกัน.
จบอรรถกถากัตตีสูตรที่ 5

6. อัญญสูตร


ว่าด้วยภิกษุละธรรม 10 ประการ จึงถึงความเจริญงอกงาม


ในธรรมวินัยนี้


[86] สมัยหนึ่ง ท่านพระมหากัสสปะอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน
กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้น แล ท่านพระมหา-
กัสสปะเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายผู้มีอายุ ภิกษุเหล่านั้น
รับคำท่านพระมหากัสสปะแล้ว ท่านพระมหากัสสปะได้กล่าวคำนี้ ว่าดูก่อน
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพยากรณ์อรหัตผลว่า เรา
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้ พระตถาคตหรือสาวกของพระ-
ตถาคตผู้ได้ฌาน ผู้ฉลาดในสมาบัติ ผู้ฉลาดในจิตของผู้อื่น ผู้ฉลาดในการ
กำหนดรู้จิตของผู้อื่น ย่อมไล่เลียง สอบถาม ซักถามภิกษุนั้น ภิกษุนั้น
อันพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน ผู้ฉลาดในสมาบัติ ผู้
ฉลาดในจิตของผู้อื่น ผู้ฉลาดในการกำหนดรู้จิตของผู้อื่น ไล่เลียง สอน-
ถาม ซักถามอยู่ ย่อมถึงความเป็นผู้เปล่า ถึงความเป็นผู้ไม่มีคุณ ถึงความ
ไม่เจริญ ถึงความพินาศ ถึงความไม่เจริญและความพินาศ พระตถาคต